
WordPress มีความยืดหยุ่นและขยายตัวได้ดีสำหรับอีคอมเมิร์ซ แต่เหมาะกับธุรกิจของคุณจริงหรือเปล่า?
WordPress เป็นตัวเลือกยอดนิยมในการสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะผ่านปลั๊กอิน WooCommerce ซึ่งขับเคลื่อนร้านค้าออนไลน์มากกว่า 4 ล้านแห่งในปัจจุบัน
แพลตฟอร์มนี้มีข้อดีหลายประการสำหรับผู้ขายออนไลน์ แล้วมันเหมาะกับธุรกิจของคุณหรือไม่? ลองมาดูข้อดีและข้อเสียก่อนตัดสินใจกันครับ
✅ ข้อดีของการใช้ WordPress สำหรับอีคอมเมิร์ซ
1. ไม่มีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม
ต่างจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซบางแห่ง WordPress ไม่หักเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย คุณจ่ายแค่ค่าธรรมเนียมให้กับผู้ให้บริการเกตเวย์ชำระเงินเท่านั้น เช่น PayPal หรือ Stripe
2. ใช้งานฟรี
WordPress ไม่มีค่าสมัครรายเดือน คุณจ่ายแค่ค่าโฮสติ้ง โดเมน และปลั๊กอินเพิ่มเติมหากจำเป็น ทำให้เริ่มต้นได้โดยไม่มีต้นทุนแพลตฟอร์ม
3. ปรับแต่งได้สูง
WordPress มีธีมและปลั๊กอินให้เลือกมากมาย และยังสามารถเข้าถึง source code เพื่อปรับแต่งได้อย่างเต็มที่ เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความแตกต่างและเอกลักษณ์
4. คุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์เต็มรูปแบบ
คุณมีสิทธิ์เต็มที่ในการจัดการเนื้อหาและย้ายโฮสต์เมื่อใดก็ได้ ไม่ถูกผูกมัดกับระบบใดระบบหนึ่ง
5. เลือกผู้ให้บริการโฮสต์ได้เอง
WordPress เปิดกว้างให้คุณเลือกโฮสติ้งจากที่ใดก็ได้ เพิ่มความยืดหยุ่นเมื่อต้องการขยายธุรกิจหรือต้องการย้ายเซิร์ฟเวอร์
6. ขยายขนาดได้ง่าย (Scalable)
มีปลั๊กอินและการปรับแต่งรองรับการเติบโตของธุรกิจ ช่วยให้เว็บไซต์รองรับปริมาณผู้ใช้งานและคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น
7. รองรับ SEO ได้ดี
WordPress รองรับปลั๊กอิน SEO เช่น Yoast และ RankMath ทำให้เพิ่มอันดับในผลการค้นหาได้ง่ายขึ้น
8. รองรับการทำการตลาด
มีปลั๊กอินและเครื่องมือมากมายที่เชื่อมต่อกับอีเมล มาร์เก็ตติ้ง โซเชียลมีเดีย รีวิวลูกค้า และระบบแชท
❌ ข้อเสียของ WordPress สำหรับอีคอมเมิร์ซ
1. ไม่ใช่แพลตฟอร์มเฉพาะด้านอีคอมเมิร์ซ
WordPress เป็น CMS ไม่ได้ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อขายของออนไลน์ ดังนั้นอาจต้องติดตั้งปลั๊กอินหลายตัวเพื่อให้ทำงานได้เทียบเท่า Shopify หรือ BigCommerce
2. ต้องมีทักษะด้านเทคนิค
ถึงแม้จะเริ่มต้นง่าย แต่การสร้างร้านค้าอีคอมเมิร์ซแบบสมบูรณ์ด้วย WordPress ต้องมีความรู้ด้านเว็บดีไซน์ โฮสต์ และความปลอดภัยพอสมควร
3. ต้องอัปเดตระบบและปลั๊กอินอย่างสม่ำเสมอ
หากไม่อัปเดต WordPress หรือปลั๊กอิน เว็บไซต์อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและแฮกได้
4. ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับผู้ใช้
ผู้ดูแลเว็บไซต์ต้องรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยเอง เช่น การตั้งค่า SSL การสำรองข้อมูล การป้องกัน Malware ฯลฯ
5. ปลั๊กอินอาจสร้างปัญหาได้
ปลั๊กอินบางตัวอาจทำให้เว็บไซต์ช้าลง หรือมีช่องโหว่ความปลอดภัย โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการอัปเดต
จากรายงาน พบว่า 97% ของช่องโหว่ความปลอดภัยใน WordPress มาจากปลั๊กอิน
📊 WordPress เทียบกับ Shopify และ BigCommerce
- Shopify และ BigCommerce: ใช้งานง่ายกว่า ไม่ต้องมีความรู้เทคนิคมาก และเป็นระบบสำเร็จรูป
- WordPress: มีความยืดหยุ่นสูง ปรับแต่งได้มาก แต่ต้องใช้ความรู้และเวลามากขึ้นในการจัดการ
📝 สรุป
WordPress เหมาะสำหรับผู้ที่:
- มีทักษะในการดูแลเว็บไซต์ หรือมีทีมพัฒนา
- ต้องการอิสระในการปรับแต่งและเป็นเจ้าของเว็บไซต์แบบ 100%
- ไม่ต้องการเสียค่าธรรมเนียมการขายเพิ่มเติมให้กับแพลตฟอร์ม
แต่ถ้าคุณต้องการระบบสำเร็จรูป ดูแลง่าย ใช้งานสะดวก และเน้นขายของออนไลน์เป็นหลัก Shopify หรือ BigCommerce อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
ที่มา : https://www.searchenginejournal.com/is-wordpress-right-choice-for-ecommerce-websites/543221/